Yengo

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทานน้ำ 1 แก้วตอนตื่นนอนดีอย่างไร?



ทานน้ำ 1 แก้วตอนตื่นนอนดีอย่างไร?

loading...



ทานน้ำ 1 แก้วตอนตื่นนอนดีอย่างไร?

          เรามักจะได้ยินว่าถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

          แล้วช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการดื่มน้ำเปล่าสะอาดคือตอนไหนกัน? จริงๆ สามารถดื่มได้ทั้งวันนะคะ แต่วันนี้เราจะมากระซิบบอกข้อดีของการดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ตอนตื่นนอน ว่ามีอะไรบ้าง?

1.ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึมในร่างกาย

          จากผลการวิจัยของ Journal of Clinical Endocrinology and Metabolismชี้ว่า หากดื่มน้ำเปล่าตอนท้องว่างหรือหลังตื่นนอนอย่างน้อย 20 ออนซ์ จะสามารถเพิ่มจำนวนเมตาบอลิซึมในร่างกายได้ถึง 30% เลยทีเดียว


2. ช่วยลดกรดในกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย เมื่อดื่มน้ำสะอาดในตอนเช้า สามารถช่วยล้างสิ่งตกค้างที่อยู่ในกะเพาะของเราได้

3. ป้องกันนิ่วในไตการดื่มน้ำเปล่าในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นให้อยากขับปัสสาวะหรือของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในไต

4. ช่วยป้องกันการปวดหัวระหว่างวัน

     ใครที่ชอบปวดหัว นั่นอาจเพราะว่านอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนจะช่วยเพิ่มออกซิเจนในร่างกายและทำให้อาการปวดหัวลดลงค่ะ

5. ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย

     นอกจากการดีท็อกซ์อย่างจริงจังแล้ว สิ่งที่เป็นเบสิคและได้ผลดีมากๆ ในการขับสารพิษออกจากร่างกายคือการดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนค่ะ

6. ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส

          สาวๆ คงจะถูกใจน่าดู สำหรับข้อนี้ เพราะการดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนจะช่วยทำให้ผิวพรรณดีขึ้นและห่างไกลจากโรคผิวหนังต่างๆ อยากอวดผิวสวยๆ หมั่นดื่มน้ำหลังตื่นนอนอย่างสม่ำเสมอนะคะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก purewow.com


วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผ่อน คอนโดหมดภายใน 7-10 ปี ฟันธง

"ผ่อน คอนโด แนว ฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี" ฟันธง !!


ขอบคุณรูปภาพจาก รูปภาพสวยๆจาก www.facebook.com/theportsuksawat/
       นำเสนอบทความจากของท่านสมาชิก พันทิพย์  872766 ที่ได้แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการผ่อนคอนโดแบบอาร์ดคอร์หมดภายในเวลาอันสั้น...... มาดูกันครับ


     คือ ผมอยากแชร์ประสบการณ์ ผ่อนบ้านและคอนโด ที่ผมเคยทำตั้งแต่ยังเป็น มนุษย์เงินเดือน เริ่มต้น ตั้งแต่ start เงินเดือน 14,000 บาท เมื่อ 18 ปีที่แล้ว จนพัฒนา เลื่อนตำแหน่ง เปลี่ยนงานมาก็มาก จนปัจจุบันมาทำธุรกิจส่วนตัว จึงมั่นใจว่าวิธีการจัดการผ่อนบ้านของผม ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับตัวเอง และคิดว่า น่าจะพอเป็น guide line ให้คนที่เริ่มคิดจะซื้อบ้าน หรือ คอนโด ตามนโยบายของรัฐ ที่กำลังจะหมดวันพรุ่งนี้ (จะทันไหม?? ถ้าข้อมูลผิด ขออภัย) ถ้าใครทราบแล้ว หรือ ไม่สนใจอ่านผ่านๆได้นะครับ

ขอบอกว่า แนวทางผม อาจจะ "อึดอัด" และต้องมี "วินัยสูง" แต่รับประกันว่า สามารถลดเวลาผ่อนของสินทรัพย์ของท่านๆ จาก 25-30 ปี ไปครึ่งๆ หรือมากกว่า เหลือผ่อน 7-10 ปี เลยทีเดียว !!!

เริ่มเลยไม่ต้องเสียเวลา 555


ยกตัวอย่าง

ผมเริ่มคิดจะมีสินทรัพย์แรก คือ ทาว์นโฮม ครับ เป็นทาว์นโฮม ที่อยู่ เกือบจะในเมือง หรือ เกือบจะนอกเมือง 555 (คือมันอยู่ปลายๆ พระราม 9) ราคา ประมาณ 4 ล้านบาท สมัยนั้นผมทำงานบริษัท หน้าที่การงานดี ได้เงินเดือนๆละ 55,000 บาทครับ พอตัดสินใจจะซื้อ เซลล์ มักจะโน้มน้าว เราต่างๆนานา เพราะ เห็นว่า เราคงกู้ผ่านแน่ๆ "บอกพี่ ผ่อนเดือนละ 20,000 เองคะ สบายๆ" ประโยคนี้ อันตรายครับ เพราะหากเป็นคนทั่วไป มักจะคิดว่า เงินเดือน 5 หมื่นกว่า ผ่อนแค่ 2 หมื่น ชิวๆ ใช่มั้ยครับ?? 

รูปภาพสวยๆจาก www.facebook.com/theportsuksawat/


วิธีคิดของผม คือ ถ้าเราชอบสินทรัพย์นั้นๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็น คอนโด บ้าน หรือ ทาว์นเฮ้าส์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ท่านตั้งใจจะซื้อแน่นอน

"ถ้า เราต้องผ่อน 20,000 บาท (ตัวอย่าง) ให้เราคิดว่า เราต้องผ่อน เป็น "2เท่า" คือ "40,000 บาท"ให้ได้ ผมถึงจะซื้อครับ"

อ่านถึงตรงนี้ คงมีคนบอก " งั้นอย่าผ่อนเลย ไม่มีวันมีบ้านหรอกชาตินี้ คิดแบบนี้ " คิดแบบนั้นก็คือ ผ่อนไปตามนั้น เดือนละ 20,000 บาท ตามทั่วไป มันก็ไปจบที่ผ่อน 25-27 ปี ถึงได้เป็ยเจ้าของจริงๆ (โดยประมาณของดอกเบี้ยลดต้นลดดอกของการผ่อนบ้าน)



loading...


แต่ผมบอกแล้ว วิธีผม " ฮาร์ดคอร์ "  5555+  ......ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น !!! เพราะท่านรู้ไหมครับ การกู้ซื้อบ้าน ดอกเบี้ย แพงมากๆๆๆๆ

     ท่านจะทราบ ก็ต่อเมื่อเป็นลูกหนี้แล้วเท่านั้น เอาดอกเบี้ยมาตรฐานทั่วไป MLR-1% หรือคือ ดอกเบี้ยประมาณ 5-7% ต่อปี อย่าไปสนใจตัวเลขนี้ดูแล้ว งงๆ เพราะเวลาเรา ผ่อนบ้าน มันจะมี 1-3 ปีแรก หลายๆแบบ 0% ปีแรกบ้าง ปีต่อไปลอยตัว (อันนี้ไม่ค่อยมีแล้ว) แบบขั้นบันไดบ้าง ผมขอไม่ลง detail นะครับ ขอสมมุติว่าดอกเบี้ย 5-7 % ต่อปีแบบเท่ากันหมด (ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ผ่อนกัน เกิน 3 ปีกันอยู่แล้ว แล้วค่อยรีไฟแนนซ์ นี้ก็อีกเรื่องนึง เดียวค่อยมาต่อ ถ้ามีโอกาส)

เอาแบบบ้านๆ คือ เวลาบิลเรียกเก็บค่างวดมาที่บ้าน หาก ท่านผ่อน เดือนละ 20,000 บาท ท่านเห็นในบิลเลยว่า...

ดอกเบี้ย = 12,000 บาท

(หัก) เงินต้น = 8,000 บาท (เอาเลขกลมๆ) -_-''

นี้คือค่าผ่อนต่อเดือนนะครับ คราวนี้ ดอกแพงหรือยังครับ?? กู้ไป 4 ล้าน เมื่อไหร่จะหมด?? (4,000,000 - 8,000 = 3,992,000)

วิธีผม คือ ผ่อน "2 เท่า" คือ 40,000 บาท เหลือกินใช้ 15,000 บาท (สำหรับคนไม่มีภาระนะครับ หากมีภาระแล้ว อยากใช้วิธีนี้ แนะนำ ดูสินทรัพย์ที่ถูกลงมาครับ)

"20,000 บาทแรก" (ดอก12,000 + หักต้น 8,000)

"20,000 บาทหลัง" (หักเงินต้น 100% หรือ หักไปเลย อีก 20,000)  ^_^

หมายความว่า ท่านจะสามารถหักเงินต้น เดือนนั้น ได้ถึง 8,000 + 20,000 บาท หรือ "3.5 เท่า" ของการหักโดยปกติ !!! (4,000,000 - 28,000 = 3,972,000)


เห็นไหมครับว่า เงินต้นที่กู้ Bank มา ลดลงเร็วเยอะขึ้น เพราะ เราได้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับ ค่างวด 20,000 บาทแรกแล้ว  ท่านก็ทำแบบนี้ ไปเรื่อยๆ พอสิ้นปีได้ โบนัส หรือ ถูกหวย ได้เงินพิเศษมา เดือนนั้น ก็จ่ายเพิ่มหนักหน่อย แต่.. บางครั้งเราก็จำเป็นใช้เงิน ท่านก็สามารถลดเงินค่างวดพิเศษลงได้ หรือไม่จ่ายเพิ่มเดือนนั้น แต่อย่าทำบ่อยนะครับ ถ้ามีครั้งแรก...ย่อมมีครั้งที่ 2 เสมอ 5555+

ไม่นาน พอผ่านไปซัก 3 ปี ผมกล้าพูดได้เลย เงินต้นที่ท่านกู้จะลดลงไปมากๆ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทแน่นอนครับ หนี้จาก "4ล้าน ก็จะเหลือไม่ถึง 3 ล้าน ประมาณ 2ล้านปลายๆ (ถ้าผ่อนแบบปกติ ครบ 3 ปี เงินต้นจะลด ไปแค่ 1 แสนบาท เองครับ คิดดู)

หากท่านมีวินัย โปะไปเรื่อยๆ หนี้สินก็จะหมด ภายใน 5-7 ปี แล้วท่านก็จะปลอดหนี้แล้ว ถ้าไม่สร้างหนี้เพิ่มเหมือนผม เอิ๊กๆๆๆ

วิธีการ คือ

โดยทั่วไป Bank มักจะให้หักค่างวดจาก บัญชีธนาคารของ Bank นั้นๆเลย  (20,000 แรก)
โดยเราสามารถจ่ายเพิ่มอีก เท่านึง (20,000 หลัง) ได้โดยการไปจ่ายที่เคาเตอร์ธนาคารนั้นๆครับ

แนะนำว่า ควรไปจ่ายเพิ่มอีก เท่านึง ภายในเดือนนั้นๆ แต่ควรเป็น ต้นเดือน เพราะโดยปกติ ธนาคารจะเรียกเก็บค่างวดจากการหักบัญชีเรา ตอนสิ้นเดือน (ส่วนใหญ่วันที่ 30 ของทุกเดือน) เพราะ...

ถ้าเราจ่ายวันที่ 1 ของเดือนนั้น แบงค์จะแอบคิดดอกเบี้ย 1 วัน ประมาณนี้ (500 บาท) หักเงินต้น (19,500 บาท) อ้าวววว...ไหนบอกหัก 100% ไง ??




 

     คือ อย่าตกใจครับ เพราะ ตอนแบงค์หักเงินจากบัญชีเรา วันที่ 30 ที่หักค่างวดปกติ ดอกเบี้ยก็จะคิดแค่ 29 วัน ไม่นับวันที่ 1 ที่เราจ่ายแล้วครับ เข้าใจแล้วใช่มั้ยครับ แหะๆๆ

      พอครบ 3 ปี เราค่อยไปรีไฟแนนซ์กับ แบงค์อื่นที่เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่า เพราะจะมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ที่ ดีกว่า เพราะครบ 3 ปี เราจะไม่ได้โปรจากแบงค์เดิมแล้ว "ปีที่ 4 ทุกแบงค์จะคิดดอกเบี้ยลอยตัวหมดครับ" (ควรไปรีไฟแนนซ์ หรือ บ้านๆ เรียกว่า ไปกู้แบงค์อื่นครับ เพื่อ โปรดอกเบี้ยที่ถูกลง อย่าทำก่อน 3 ปีนะครับ จะโดนค่าปรับ ไม่คุ้มครับ)

      หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดกู้เงินซื้อบ้านนะครับ วิธีการนี้ หากใช้ให้เป็น มันสามารถสร้างสินทรัพย์ได้ 4-5 อัน ในระยะเวลาเท่าๆกัน กับคนทั่วไป ที่ใช้เวลา 25-30 ปี ในการสร้างสินทรัพย์แค่อันเดียว

      แล้วถ้าหาก.. สินทรัพย์เหล่านั้นที่ท่านเลือก เป็นสินทรัพย์ที่ดี ออกดอกออกผล สร้างรายได้ หรือ cash flow ให้ท่านต่อเดือน เช่น ให้ค่าเช่า
มันก็จะเป็นรายได้ให้ท่านอีกทางนึง ที่สมัยนี้ นิยมเรียกกันว่า....   "Passive income"  

ขอบคุณประสบการดีๆจากสมาชิกพันทิพย์ 872766 ด้วยครับ


 www.facebook.com/theportsuksawat/
---------------------------------------------------------------------------------------------------------- 
www.neramitenent.com

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

9 อาการทางร่างกาย อาการที่เราไม่เคยให้ความสำคัญ แท้จริงร่างกายกำลังหาทางเอาตัวรอด!!

www.standcondo.com

9 อาการทางร่างกาย อาการที่เราไม่เคยให้ความสำคัญ แท้จริงร่างกายกำลังหาทางเอาตัวรอด!!
 

loading...


          การหาว แท้ จริงแล้วมันคือการปกป้องสมองจากการทำงานหนักจนเกิดความล้าหรือมีอุณหภูมิสูง เกินไป  รวมถึงการขาดออกซิเจน ร่างกายจึงคายคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มออกซิเจนเข้าไปผ่านการหาว

          การจาม เรามักจะจามเวลาที่ระบบหายใจสูดเอาจุลินทรีย์, ฝุ่น, สิ่งแปลกปลอมหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าไป ดังนั้น การจามออก ก็เปรียบเสมือนการกำจัดขยะเหล่านี้ออกจากร่างกาย 

          ารบิดขี้เกียจ ใครว่าบิดขี้เกียจคืออาการของคนเกียจคร้าน เพราะความจริงการบิดขี้เกียจ คือกลไกเตรียมพร้อมของร่างกายในการเผชิญกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน มันช่วยยืดกล้ามเนื้อ, สร้างการหมุนเวียนของระบบโลหิตและยังส่งผลต่ออารมณ์ของเราอีกด้วย 

 

สะอึก อาการน่าหงุดหงิด ที่เกิดจากเส้นประสาท pneumogastric เกิดการระคายเคือง ซึ่งมันเป็นเส้นประสาทที่อยู่ใกล้กระเพาะอาหารและกระบังลม สาเหตุที่มันถูกรบกวนมาจากการการรับประทานอาหารเร็วเกินไป รับประทานคำโตเกินไป หรือรับประทานมากเกินไป  


 

       ฝันว่าตกจากที่สูง อาการชวนหัวใจวายที่เวลาเราเคลิ้มๆแล้วพลันนึกว่าตัวเองจะตกจนต้องสะดุ้ง ตื่น มีคำอธิบายว่า อาการดังกล่าวเป็นผลมาจากช่วงที่เราหลับ กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย, ชีพจรเต้นช้า, อัตราการหายใจแผ่วลง ซึ่งสมองจะเข้าใจว่า เรากำลังจะตาย มันจึงสั่งการให้ระบบร่างกายกลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ก็มีบางทฤษฎีอธิบายว่า มันเป็นกลไกสมัยที่บรรพบุรุษเรายังนอนบนต้นไม้หรือยังต้องเสี่ยงกับสัตว์ป่า การสะดุ้งตื่นจะทำให้พ้นภัยจากการถูกทำร้าย 



        อาการผิวหนังเหี่ยวย่น อ๊ะๆ!! อันนี้ไม่ได้หมายถึงเหี่ยวตามวัย แต่เป็นอาการผิวเหี่ยวเวลาโดนน้ำนานๆซึ่งจะเกิดที่ปลายนิ้ว แต่เดิมเราเชื่อว่ามันเกิดจากภาวะผิวหนังดูดซึมน้ำมากเกินไปจึงขยายตัวจน เหี่ยวย่น แต่มีทฤษฎีใหม่ที่เชื่อว่า มันช่วยให้เราจับยึดสิ่งต่างๆขณะที่ผิวเปียกชื้นดีขึ้น (คล้ายๆดอกยางรถยนต์นั่นแหละ) (ขอบคุณภาพจาก sciencefocus)



      ภาวะหลงลืม การสูญเสียความทรงจำ เกิดขึ้นได้หลายปัจจัย หนึ่งในคำอธิบายเกี่ยวกับกลไกการปกป้องร่างกายก็คือ สมองต้องการจะลบความทรงจำหรือประสบการณ์ที่เลวร้ายออกไป เพื่อช่วยไม่ให้เราต้องเผชิญกับภาวะจิตตกหรือทนทุกข์กับความทรงจำที่ไม่ปรา ถนา



     ขนลก อาการที่มักจะเกิดขึ้นเวลาเราเย็นวาบ ซึ่งมันก็คือการป้องกันการสูญเสียความร้อนจากร่างกายทางรูขุมขน ช่วยให้ร่างกายคงอุณหภูมิเดิมได้เวลาเราเจอกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ...มิใช่ผีผ่านแต่อย่างใด (ขอบคุณภาพจาก engtwt.info)



          
      ร้องให้ น้ำตาไหลพรากๆๆ ซึ่งมีสองแบบ แบบแรกคือ น้ำตาไหลเวลาที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา น้ำตาก็จะช่วยหล่อลื่นและพาเอาสิ่งแปลกปลอมออกมา กับอีกแบบคือการร้องไห้ที่เกี่ยวกับอารมณ์ ซึ่งมีคำอธิบายว่า ยามเจ็บปวด เสียใจ สะเทือนอารมณ์ การร้องไห้จะเป็นการสร้างภาวะระคายเคืองทางกายภาพ ซึ่งมันจะเป็นจุดหันเหความสนใจของเรา เพื่อช่วยให้ลืมภาวะทางอารมณ์แล้วหันไปจัดการกับน้ำตาที่เปรอะหน้าแทน


 

ขอบคุณบทความดีๆ จาก brightside
loading...